Mazda CX-3 2021 Collection vs Toyota C-HR 2020 คอมแพ็คเอสยูวีสไตล์สปอร์ต ขนาดกะทัดรัด จัดเต็มอุปกรณ์ทันสมัย ขับสนุกทั้งในและนอกเมือง
รถยนต์คอมแพ็คเอสยูวีมีตัวเลือกมากมายในตลาดเมืองไทยเนื่องจากความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา หากถามว่าเพราะเหตุใดรถประเภทนี้จึงได้รับความนิยม ก็อาจจะตอบได้ว่าเป็นเพราะความอเนกประสงค์ที่มากกว่ารถเก๋งซีดานทั่วไป รูปลักษณ์ที่ทันสมัย ตลอดจนราคาค่าตัวที่เอื้อมถึงได้ง่าย จึงไม่แปลกที่หลายคนเลือกที่จะเป็นเจ้าของรถประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความนิยมนี้เองการแข่งขันในตลาดนี้จึงหนักหน่วงและรุนแรง ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละแบรนด์ในเมืองไทยต่างก็นำเสนอรถยนต์ในคลาสนี้เข้าสู่ตลาด มีตัวเลือกมากมายหลายรุ่นให้ผู้ซื้อได้เปรียบเทียบ การแข่งขันที่สูงแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ซื้อที่จะได้สิ้นค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
Mazda CX-3 2021 Collection และ Toyota C-HR 2020 ต่างก็เป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์คลาสคอมแพ็คเอสยูวี ทั้ง 2 รุ่นมีความโดดเด่นที่รูปลักษณ์ภายนอกอันทันสมัย ขนาดตัวที่กะทัดรัด เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ และอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมทันยุคทันสมัย CX-3 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ส่วน C-HR ล้ำหน้ากว่าเพราะเป็นเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร ที่มีจุดเด่นด้านความประหยัดและปล่อยมลพิษต่ำ บทความนี้จะเป็นการรีวิวเปรียบเทียบคอมแพ็คเอสยูวีทั้ง 2 รุ่นโดยจับเอาตัวท็อปสุดของไลน์อัพมาเปรียบเทียบกัน ได้แก่ Mazda CX-3 2.0 PROACTIVE ราคา 9.59 แสนบาท และ Toyota C-HR HV Hi ราคา 1.159 ล้านบาท ด้วยความต่างของราคาที่มากถึง 2 แสนบาท ก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นเพราะระบบเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน น่าสนใจมากกว่ารถที่แพงกว่าจะได้เปรียบรถที่ราคาถูกกว่ามากน้อยแค่ไหน แต่ละคันจะมีอะไรน่าสนใจซ่อนอยู่บ้างไปดูกัน
Cr. Toyota Motor Thailand
รูปลักษณ์ภายนอก
เอสยูวีทั้งรุ่นมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ทันสมัยโดยมีลักษณะเด่นคือแนวหลังคาที่ลาดลงด้านท้ายในสไตล์รถคูเป้ตามเทรนด์การออกแบบรถเอสยูวียุคใหม่ ข้อดีคือได้ความโฉบเฉี่ยว ดูสปอร์ต แต่ต้องแลกมาด้วยพื้นที่เหนือศีรษะด้านหลังที่ถูกลดทอนลงไป
CX-3 ออกแบบตัวถังภายใต้แนวคิด Kodo Design ลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป ให้ความเรียบง่ายแต่สง่างาม โฉบเฉี่ยว และทรงพลังในแบบเอสยูวี โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับไฟหน้า LED Projector พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED Signature สวยงามลงตัว กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต มีการตกแต่งด้วยคิ้วโครเมียมที่ชายกันชนล่างด้านหน้าและสเกิร์ตข้าง พร้อมกับเสริมภาพลักษณ์แบบรถเอสยูวีด้วยชิ้นส่วนพลาสติกสีดำที่ชายล่างของกันชนหน้า เชื่อมต่อกับคิ้วล้อ สเกิร์ตข้าง ไปกันถึงกันชนหลัง ดีไซน์ท้ายรถแสดงถึงความสปอร์ต โดดเด่นด้วยไฟท้าย LED Signature เสริมความเท่ด้วยสปอยเลอร์หลังคาสีเดียวกับตัวรถ วัสดุตกแต่งเสา B ภายนอกสีดำเงา เสาอากาศแบบครีบฉลาม และท่อไอเสียคู่แบบสปอร์ตพร้อมปลายท่อโครเมียม
C-HR มาพร้อมเส้นสายตัวถังที่โฉบเฉี่ยว มีเหลี่ยมมุมเด่นชัด ได้อารมณ์รถสปอร์ตคูเป้ กระจังหน้าเป็นแบบช่องเล็กพร้อมตราโลโก้โตโยต้าตกแต่งสีฟ้าบ่งบอกว่าเป็นรถพลังงานทางเลือก โคมไฟหน้าดีไซน์เรียวเล็ก แบบ LED Projector พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED และไฟเลี้ยวแบบ LED Sequential หรือไฟวิ่ง กันชนหน้า-หลังออกแบบในสไตล์สปอร์ตเสริมภาพลักษณ์ของรถให้น่ามองในทุกมิติ เพิ่มความเท่ด้วยกระจกมองข้างสีดำ หลังคาสีดำ สปอยเลอร์สีดำ ไฟท้าย LED แบบรมดำ คอ้วล้อสีดำ แผ่นกันกระแทกที่ชายล่างของประตูสีดำ และเสาอากาศครีบฉลามสีดำ
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
มิติตัวถังของ CX-3
ยาว 4,275 มม.
กว้าง 1,765 มม.
สูง 1,550 มม.
ระยะฐานล้อ 2,570 มม.
มิติตัวถังของ CH-R
ยาว 4,360 มม.
กว้าง 1,795 มม.
สูง 1,565 มม.
ระยะฐานล้อ 2,640 มม.
เมื่อเทียบกันจะเห็นว่า CH-R ใหญ่โตกว่าทุกมิติ เช่นเดียวกับระยะฐานที่ยาวกว่าซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่ว่างบริเวณเบาะหลังมากกว่า ในขณะเดียวกัน CX-3 ได้เปรียบในเรื่องระยะความสูงจากพื้น 160 มม. มากกว่าของ CHR ที่สูง 154 มม. และมีน้ำหนักตัวรถ 1,303 กก. เบากว่า CH-R ที่มีน้ำหนัก 1,455 กก. ซึ่งส่งผลถึงความกระฉับกระเฉง อัตราเร่งที่ว่องไว และความสามารถในการลุยที่ดีกว่า
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
CX-3 ติดตั้งล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/50 R18 ส่วน C-HR ติดตั้งล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60 R17 ล้อที่ใหญ่ช่วยในเรื่องความสวยงามแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความกระด้างที่มากกว่าล้อขนาดเล็กที่มีจุดเด่นด้านความนุ่มนวลกว่าและการประหยัดพลังงาน
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
รถทั้ง 2 รุ่นใส่อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกมาไม่ด้อยไปกว่ากัน ได้แก่ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED, ระบบปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำ, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และกระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว LED ในตัว CX-3 มีหลังคาซันรูฟไฟฟ้า และท่อไอเสียคู่แบบสปอร์ตปลายท่อโครเมียม ส่วน C-HR มีระบบไฟหน้า Follow me home, ไฟตัดหมอกหลัง ไฟส่องสว่างที่กระจกมองข้างแบบ LED Welcome Lamp และกระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน Acoustic Glass
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
ภายในห้องโดยสาร
เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับห้องโดยสารที่ออกแบบได้อย่างทันสมัย พร้อมกับใช้วัสดุคุณภาพดีและมีงานประกอบที่ประณีตเรียบร้อย โดย CX-3 จะใช้ความรู้สึกพรีเมียมหรูหราพรีเมียมจากการตกแต่งด้วยผ้า Grand Luxe Suede สีเทาที่บริเวณแดชบอร์ดและแผงประตู รวมถึงกรอบช่องแอร์ที่ตกแต่งด้วยสีแดงและมือจับเปิดประตูสีเงินซาตินเพิ่มอารมณ์สปอร์ต ฝั่ง C-HR ก็ไม่น้อยหน้าเพราะห้องโดยสารมาในโทนสีดำ-น้ำตาล มีไฟตกแต่งบริเวณประตูหน้าและที่วางแก้วน้ำ แดชบอร์ดและแผงประตูเป็นพลาสติกผสมหนังบุนุ่มสีน้ำตาลในภาพรวมให้ความรู้สึกที่ดี
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
เบาะนั่งของ CX-3 หุ้มหนังสีดำตัดด้วยตะเข็บด้ายสีเทา เบาะคนขับปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง เบาะนั่งของ C-HR หุ้มหนังและวัสดุสังเคราะห์ เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต เบาะคนขับปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง พร้อมตัวปรับดันหลังไฟฟ้า ฝั่งผู้โดยสารปรับด้วยมือ 4 ทิศทางเช่นเดียวกัน เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นมีพื้นที่เบาะหลังไม่กว้างมากนัก คนตัวสูงมานั่งอาจจะรู้สึกอึดอัด ยิ่งถ้านั่ง 3 คนจะรู้สึกอึดอัดมาก ทางที่ดีนั่ง 2 คนก็พอ พนักพิงเบาะหลังสามารถกพับแยกได้แบบ 60/40 เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น
พวงมาลัยของ CX-3 เป็นทรงสปอร์ตหุ้มหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก) มาพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มเปิด-ปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ไม่มีแป้นแพดเดิลชิฟท์ หัวเกียร์หุ้มหนัง หน้าปัดเป็นวัดรอบแบบเข็มอนาล็อกพร้อมจอ Active Driving Display แบบสีที่บอกข้อมูลการขับขี่ครบครัน และมีมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกบังลมหน้าผู้ขับ Head-up display
พวงมาลัยของ C-HR หุ้มหนัง มาพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ครูสคอนโทรลเป็นก้านปรับที่คอพวงมาลัยด้านขวา และไม่มีแป้นแพดเดิลชิฟท์เช่นกัน เรือนไมล์เป็นแบบผสมประกอบด้วยหน้าปัดวัดเร็วเป็นแบบเข็มเรืองแสง Optitron และจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ที่บอกข้อมูลสำคัญทุกอย่างครบครัน
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
C-HR เหนือกว่า CX-3 ในด้านระบบปรับอากาศที่เป็นแบบอัตโนมัติแยกปรับอุณภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบฟอกอากาศ nanoe โดย CX-3 เป็นเพียงระบบปรับอากาศอัตโนมัติธรรมดาเท่านั้น ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานภายในห้องโดยสารก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน อาทิ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, เบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น Hold, กระจกหน้าต่างไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบ, แผ่นปิดห้องสัมภาระด้านท้าย, เซ็นทรัลล็อก ระบบกุญแจ Keyless และช่องจ่ายไฟ 12V เป็นต้น จุดที่แตกต่างกันคือ CX-3 มีที่วางแขนเบาะนั่งคู่หน้าพร้อมกล่องเก็บของปรับได้ 3 รูปแบบ และที่วางแขนกลางเบาะนั่งด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ส่วน C-HR มีกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
ระบบความบันเทิง
ระบบอินโฟเทนเมนต์ Mazda Connect ของ CX-3 แสดงผลบนหน้าจอสัมผัส Center Display ขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งอยู่ด้านบนของแดชบอร์ดในตำแหน่งที่มองง่าย จอภาพคมชัด กราฟิกสวยงาม หน้าตาเมนูใช้งานง่าย สามารถควบคุมการเข้าใช้งานเมนูต่างๆ ในหน้าจอได้จากปุ่มควบคุม Center Commander หรือการสั่งการด้วยเสียง ทำให้การใช้งานขณะขับรถสะดวกมาก นอกจากนี้ ระบบยังมาพร้อมฟังก์ชั่นใช้งานที่ครบครัน อาทิ วิทยุ เครื่องเล่นเพลง โทรศัพท์ การเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto มีช่องเชื่อมต่อ AUX และ USB ในส่วนของระบบเสียงเป็นลำโพง 6 ตำแหน่ง
ระบบอินโฟเทนเมนต์ของ C-HR แสดงผลบนหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งอยู่ด้านบนของแดชบอร์ดในตำแหน่งที่มองง่าย ไม่มีปุ่มควบคุมที่คอนโซลกลางทำให้ใช้งานในขณะขับขี่ไม่สะดวกเท่า CX-3 มาพร้อมเครื่องเล่น DVD/ CD/ MP3/ WMA พร้อมช่องเชื่อมตอ USB/ HDMI/ MICRO SD CARD รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth มีระบบนำทาง และรองรับการเชื่อมต่อแอปพลิเคชั่น T-CONNECT ที่มีฟีเจอร์เด่นๆ มากมาย อาทิ บริการผู้ช่วยส่วนตัว เช็คตำแหน่งรถยนต์ ติดตามรถหาย ดูข้อมูลสถานะของรถ รวมถึงการช่วยเหลทอฉุกเฉินตลอด 24 ชม. ในส่วนของระบบเสียงเป็นลำโพง 6 ตำแหน่งเท่ากับ CX-3
ในภาพรวม ระบบความบันเทิงของ CX-3 ควบคุมสั่งการได้ง่ายกว่าในขณะขับรถเพราะมีแป้นหมุนและปุ่มทางลัดเข้าเมนูสำคัญที่คอนโซลกลางเหมือนกับพวกรถหรูจากยุโรป ขณะที่ระบบความบันเทิงของ C-HR รองรับการเชื่อมต่อมากกว่า และมีบริการดีๆ ที่เป็นประโยชน์มากกว่า
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
ขุมพลังเครื่องยนต์
เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมขุมพลังคนละรูปแบบ CX-3 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร Dual S-VT Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 204 นิวตันเมตร ที่ 2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดแมนวล Activematic ขับเคลื่อนล้อหน้า
C-HR เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดที่ประกอบด้วยเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง DOHC Atkinson cycle 16 วาล์ว VVT-i ขนาดความจุ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แรงดันไฟฟ้า 600 โวลต์ กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร รวมพละกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ตัวนี้รองรับน้ำมันเบนซิน E20 และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 95 กรัม/กม.
Cr. Mazda Thailand
Cr. Toyota Motor Thailand
เครื่องยนต์ของ CX-3 ไม่มีอะไรซับซ้อน ความจุมากกว่า ให้กำลังแรงม้าและแรงบิดมากกว่า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้นุ่มนวลราบรื่นทุกจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ สมรรถนะของรถอยู่ในเกณฑ์ดี มีกำลังเหลือ ๆ สำหรับการขับขี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะขึ้นทางลาดชันหรือการเร่งแซงก็ทำได้อย่างฉับไว
C-HR มีจุดเด่นที่การประหยัดพลังงานและการปล่อยมลพิษต่ำ รวมถึงการขับขี่ในโหมด EV ที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าเพียว ๆ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่ปล่อยมลพิษใด ๆ สู่อากาศ C-HR ใช้แบตเตอรี่แบบ Nickel metal Hydride (Ni-MH) แรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ 28 Modules 6.5 Ah มีการออกแบบให้มีขนาดเล็ก ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน และมีการระบายความร้อนที่ดี
Cr. Mazda Thailand
ในแง่การขับขี่ เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นต่างก็เป็นรถที่มีความคล่องตัวและปราดเปรียวว่องไวด้วยกันทั้งคู่ ในด้านประสิทธิภาพบังคับการควบคุมต้องยกให้ CX-3 ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมการออกแบบ Skyactive-Vehicle Dynamic ที่ผสานการทำงานของรถทั้งคันตั้งแต่เครื่องยนต์ เกียร์ โครงสร้างตัวถัง ไปจนถึงช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว ให้ทำงานประสานอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับเทคโนโลยี G-Vectoring Control (GVC) ที่จะคอยช่วยเสริมประสิทธิภาพในขณะเข้าโค้ง ช่วยให้รถมีการขับขี่ที่ดี มั่นคง เกาะถนน เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้ดีมากๆ
สถาปัตยกรรม TNGA ของ C-HR ก็ช่วยสมรรถนะในการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความแข็งแกร่งและมั่นคงของโครงสร้างตัวถัง การออกแบบให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวที่ปรับจูนมาเป็นอย่างดี รวมถึงทัศนวิสัยการขับขี่ที่ดีเยี่ยมรอบด้าน ทั้งหมดช่วยให้รถมีความมั่นคง นุ่มนวล เกาะถนน เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ
Cr. Toyota Motor Thailand
CX-3 มีโหมด SPORT สำหรับเพิ่มการตอบสนองของรถให้ฉับไวยิ่งขึ้น ระบบจะสั่งงานให้เกียร์ลากรอบสูงขึ้น คันเร่งไวขึ้น เพื่อความสนุกมากขึ้นในขณะขับขี่ ส่วน C-HR มีทั้งหมด 3 โหมดกขับขี่ ประกอบด้วย Normal ให้ความสมดุลระหว่างสมรรถนะการขับขี่ที่เหมาะสมกับการประหยัดพลังงานที่ดี, Sport เพิ่มคามสนุกเร้าใจในการขับขี่โดยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานเต็มประสิทธิภาพ ให้อัตราเร่งและการตอบสนองดีขึ้น และ Eco เน้นการขับขี่ประหยัดพลังงาน
ในส่วนของระบบเบรกเอสยูวีทั้ง 2 รุ่นติดตั้งดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อมาเป็นมาตรฐาน พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่างระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบช่วยเสริมแรงเบรก BA เสร็จสรรพ ให้ความมั่นใจในการเบรกได้ดีในทุกสถานการณ์การขับขี่
Cr. Mazda Thailand
ระบบความปลอดภัย
เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นต่างก็นำเสนอความเป็นเลิศในการเป็นผู้นำด้านความปลอดภัย หัวข้อนี้มีความสำคัญและเป็นจุดขายของทั้งคู่ CX-3 มาพร้อมระบบความปลอดภัย i-Activesense ที่ประกอบด้วยระบบความปลอดภัยสุดไฮเทค 7 ระบบด้วยกัน ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันตามความเร็วของรถคันหน้า MRCC, ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM, ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA, ระบบเตือนการชนด้านหน้าและเบรกอัตโนมัติ SBS, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ SCBS, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Control และระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร LDWS ระบบทั้งหมดช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้รอบด้าน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ขับขี่ได้อีกทาง
Cr. Mazda Thailand
ด้าน C-HR ก็ไม่น้อยหน้า มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่ประกอบด้วยระบบสุดล้ำ 4 ระบบ ได้แก่ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Collision System, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ Lane Departure Warning With Steering Assist, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam Control เสริมด้วยระบบความปลอดภัยทีมีประโยชน์และน่าจะได้ใช้บ่อยๆ อย่างระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง เรียกได้ดว่าครบครันไม่เป็นรอง CX-3
Cr. Toyota Motor Thailand
นอกจากเทคโนโลยีความลอดภัยสุดล้ำข้างต้นแล้ว เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นยังใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานมาเท่า ๆ กัน อาทิ เซนเซอร์กะระยะช่วยหน้า-หลังรวม 8 จุด, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, ระบบป้องกันการลื่นไถลและล้อหมุนฟรี และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน เป็นต้น สิ่งที่แตกต่างกันคือ CX-3 มีกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา (C-HR เป็นเพียงกล้องแสดงภาพด้านหลัง) และมีระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหันมาให้ ส่วน C-HR เหนือกว่าด้วยการมีถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งรอบห้องโดยสาร (CX-3 มี 6 ตำแหน่ง) มีระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยางและมีระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่มีอาการเหนื่อยล้า
Cr. Toyota Motor Thailand
สรุป
Mazda CX-3 2.0 PROACTIVE และ Toyota C-HR HV HI เป็นคอมแพ็คเอสยูวีที่น่าใช้ ภายใต้ขนาดตัวที่กะทัดรัด รถทั้ง 2 รุ่นนำเสนอรูปลักษณ์ที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวและทันสมัยเหมาะสำหรับใช้งานในเมือง แต่ละคันมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกัน CX-3 เด่นในเรื่องสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ ส่วน C-HR ได้เปรียบในแง่ความประหยัดและการปล่อยมลพิษต่ำ ที่สำคัญคือเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ใส่มาเยอะด้วยกันทั้งคู่ มุมนี้ถือว่าเสมอกันไป
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องยนต์คนละรูปแบบส่งผลถึงราคาค่าตัวที่ต่างกัน 2 แสนบาท C-HR ไปเครื่องยนต์ไฮบริดที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า ราคาค่าตัวจึงแพงกว่า ทั้งยังมาพร้อมกับออปชั่นที่เหนือกว่า CX-3 ในหลายๆ ด้าน แต่ CX-3 ก็ไม่ได้เป็นรองมากนัก อุปกรณ์หลักๆ ที่มีความสำคัญยังใส่มาให้เท่าๆ กัน ดังนั้นการตัดสินใจเลือกซื้อจึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ซื้อพึงพอใจแบบไหน ถ้าต้องการรถประหยัด ปล่อยมลพิศต่ำ ออปชั่นแน่น ต้องเลือก C-HR ถ้าต้องการรถที่เป็นเลิศในด้านการขับขี่ ต้องเลือก CX-3
Cr. Mazda Thailand